โรคหัวใจ ไขมัน ความดัน เบาหวาน เลือกทานน้ำมันอย่างไรให้ปลอดภัย
3 เช็คลิสต์ เลือกน้ำมันอย่างไร หัวใจ ไขมัน ความดัน เบาหวาน
1. เป็นไขมันชนิดไหน ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว หรือ ไขมันทรานส์
1.1 ไขมันอิ่มตัว (Saturated FAT)
เป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทานบ่อยๆ คุณจะมีภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นโรคไขมัน
- เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อติดมัน เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ และไข่แดง
- อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน และกุนเชียง
- อาหารทอด และอาหารจานด่วน เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด พิซซ่า และแฮมเบอร์เกอร์
- นมเต็มมันเนย และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น เนย ชีส และไอศกรีม
- ช็อกโกแลต และขนมหวาน เช่น เค้ก คุ้กกี้ และโดนัท
- ไขมันวัว น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว และกะทิ
1.2 ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated FAT)
ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA – Mono) และ กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (PUFA – Poly)
กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA) จะมีส่วนในการลดปริมาณของคอเลสเตอรอล และเพิ่มไขมันดี(HDL) ในร่างกาย
กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง( PUFA) น้ำมันในกลุ่มนี้ มีส่วนช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลได้นะคะ แต่ถ้าใช้บ่อยๆ ใช้มาก ก็จะมีส่วนลดไขมันดี (HDL) ในร่างกาย
ดังนั้น ควรทาน น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA > PUFA)
1.3 ไขมันทรานส์ คือ น้ำมันพืช ที่ถูกเปลี่ยนสภาพ ให้มีความแห้งขึ้น แข็งตัวขึ้น ให้เป็นผง เช่น มาการีน เนยเทียม เนยขาว คอฟฟี่เมท ครีมเทียม นมข้นหวาน นมข้นจืด วิปครีม จัดเป็นไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมาก ทานแล้วก่อให้เกิดไขมันอุดตันเส้นเลือดเพิ่มขึ้น 10 เท่า
2. ต้องดูสัดส่วนของโอเมก้า 6 : โอเมก้า 3
โอเมก้า 6 กับ 3 มัน คือ อะไร มันคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน Polyunsaturated fatty acids (PUFA) ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ ถือว่าเป็นสิ่ง “จำเป็น” เพราะร่างกายของเราไม่สามารถผลิตเองได้ จึงต้องได้รับจากอาหารที่กินเท่านั้น
Linolenic โอเมก้า 3
Linoleic โอเมก้า 6
โอเมก้า 3 (Omega 3)
โอเมก้า 3 ประกอบด้วย DHA ช่วยสมอง และ EPA ช่วยหัวใจ โอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ที่เป็นสาเหตุของโรคเสื่อมต่างๆ และจัดเป็นกรดไขมันจำเป็น (essential fatty acid) เพราะร้างกายสร้างเองไม่ได้ การทานโอเมก้า 3 ควรดูปริมาณ DHA และ EPA ที่ได้รับด้วย
โอเมก้า-6 (Omega 6)
โอเมก้า 6 ช่วยในการทำงานของสมองและช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการ นอกจากนี้ยังช่วยดูแลผิวหนังและเส้นผม ช่วยรักษามวลกระดูก ช่วยควบคุมการเผาผลาญ ช่วยให้เซลล์ของเราทำงานได้อย่างถูกต้องและช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่างๆมากมาย แต่ถ้าในอาหารมีโอเมก้า 6 เยอะเกินไป จะไปเร่งกระบวนการอักเสบ
ความสมดุลของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 จึงมีความสำคัญมากต่อสุขภาพ ถ้าอัตราส่วนของกรดไขมัน 2 ชนิดนี้ไม่สมดุลก็อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรืออัลไซเมอร์ เป็นต้น
สัดส่วนของ โอเมก้า 6 : โอเมก้า 3 ไม่ควรเกิน 4 : 1 ถ้าทานเกินบ่อยๆ มันจะเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน
3. จุดเกิดควัน
จุดเกิดควัน คือ อุณหภูมิ ที่น้ำมันจะแตกตัวกลายสภาพเป็นควันน้ำมัน เวลานำน้ำมันไปปรุงอาหาร เช่น ทอด ผัดไฟแรง มีงานวิจัยหลายฉบับพบว่าการแปรสภาพเป็นควันนี้ เป็นพิษและเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้นควรเลือกชนิดน้ำมันให้เหมาะกับการปรุงอาหาร และการใช้ น้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง จะปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า น้ำมันที่มีจุดเกิดควันต่ำ
- น้ำมันที่ใช้ทอดควรเป็นน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง (240 oC ขึ้นไปจึงจะดี) เพื่อลดโอกาสเกิดสารก่อมะเร็ง
- น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวมีจุดเกิดควันค่อนข้างสูง ใช้ทอดได้ แต่ไม่ดีกับสุขภาพ เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวสูง
- น้ำมันที่ไม่ค่อยทนความร้อนเลย จะสังเกตได้จากจุดเกิดควันต่ำกว่า 230 oC
ข้อมูลน้ำมันแต่ละประเภท
- น้ำมันมะกอก
- น้ำมันมะพร้าว
- น้ำมันรำข้าว
- น้ำมันถั่วเหลือง
- น้ำมันปาล์ม
- น้ำมันคาโนล่า
- น้ำมันหมู
เลือกน้ำมันให้เหมาะกับการปรุงอาหาร
- น้ำมันที่ใช้ทอด
- ผัดอาหารใช้น้ำมันเท่าไหร่
เลือกทานน้ำมันปลาอย่างไรดี
น้ำมันปลา จัดเป็นน้ำมันที่ดีต่อ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจทานได้ค่ะ เพราะน้ำมันปลา จะช่วยลดไขมันเลว(LDL) เพิ่มไขมันดี (HDL) และลดระดับของไตรกลีเซอไรด์ลงได้
3 ข้อควรรู้ ก่อนเลือกซื้อน้ำมันปลา (เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการกินน้ำมันปลาเต็มร้อย)
- เป็นน้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึก ตามธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาเลี้ยง
- เป็นการสกัดเย็น
- ดูปริมาณของ EPA DHA สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรทาน EPA+DHA 800-1000 มก ต่อวัน แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นโรค ทานเพื่อรักษาสุขภาพ ทานที่ระดับ EPA+DHA 500 มก ก็ได้ แต่ถ้าผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอร์สูงมาก ควรทาน 2-4 กรัม ต่อวัน
